เชียร์ 51

ข่าวเด็ด

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2551

ททท.เร่งเคลียร์ต่างชาติแจงวิกฤตการเมืองไทย

นางจุฑาพร เริงรณอาษา รองผู้ว่าการด้านการสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 6 ก.ย. ว่า ได้ประสานให้สำนักงาน ททท. ในต่างประเทศเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจ กับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาประเทศไทย ให้ทราบความเคลื่อนไหวถึงสถานการณ์ของประเทศไทย และคำชี้แจงของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในเขตกรุงเทพฯ ว่า ตั้งอยู่บนหลักการของประชาธิปไตย โดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนในการแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้ รองผู้ว่าการด้านการสื่อสารการตลาด ททท. ยังเปิดเผยถึงการสุ่มสอบถามความคิดเห็นตัวอย่างนักท่องเที่ยวทางโทรศัพท์พบว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยกว่าครึ่งยืนยันสถานการณ์การเมืองไม่กระทบต่อการตัดสินใจท่องเที่ยว เพราะวางแผนเดินทางไว้ล่วงหน้า และสถานที่ท่องเที่ยวไม่มีการชุมนุม แต่ยอมรับว่า มีผลต่อจิตวิทยาในการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว เนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัย สถานการณ์ยืดเยื้อและการเดินทางไม่สะดวก
ส่วนตลาดต่างประเทศนั้น นางจุฑาพร กล่าวว่า จากการสอบถามผ่านตัวแทนบริษัทนำเที่ยวพบว่า มีการยกเลิกการเดิน ทางเนื่องจากการปิดสนามบินและบางสายการบินในต่างประเทศยกเลิกเที่ยวบินมาไทย อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่า การชี้แจงผ่านสำนักงาน ททท. ในต่างประเทศจะทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจมากขึ้น

ขอขอบคุณแหล่งข่าว http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1220684146&grpid=03&catid=01
โพสต์โดย นางสาว กนกวรรณ ชูจิตต์ประชิต ID 5131601220 sec 1

นศ.ชุมนุมสะพานมัฆวานฯ ค่ำนี้ ลั่นหยุดเรียน 9 ก.ย.ไม่มีกำหนด

นักศึกษา 80 สถาบัน นัดชุมนุมใหญ่ค่ำวันนี้ (6ก.ย.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ก่อนเคลื่อนไหวแบบดาวกระจายหนุนพันธมิตรฯ พร้อมประกาศหยุดเรียน 9 ก.ย.ไม่มีกำหนด ด้านนศ.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ร่วมลงชื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีนายวสันต์ วานิชย์ ผู้ประสานงานเยาวชนกู้ชาติ กล่าวถึง การเคลื่อนไหวใหญ่ของนิสิต นักศึกษา ว่า นักศึกษา 80 สถาบันทั่วประเทศ นำโดย ม.ธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ ม.เกษตรศาสตร์ และ ม.รังสิต จะชุมนุมใหญ่ที่ สะพานมัฆวานฯ ค่ำวันนี้ (6ก.ย.) เพื่อสนับสนุนการชุมนุมของพันธมิตรฯ ซึ่งคาดว่าจะมีนักศึกษามาร่วมชุมนุมไม่ต่ำกว่า 5 พันคน ซึ่งได้รับคำยืนยันจากแกนนำมหาวิทยาลัยว่าจะนำนักศึกษามาร่วมไม่ต่ำกว่าสถาบันละ 80-100 คน จากนั้นเวลา 19.00 น. จะเดินเท้าเคลื่อนไหวแบบดาวกระจายเป็น 2 สาย แต่ยังไม่เปิดเผยสถานที่เพื่อความปลอดภัย เพราะข่าวมาว่า กลุ่ม นปก. จะรวบรวมอาวุธมาก่อกวน จึงได้เตรียมการ์ดรักษาความปลอดภัยจาก สถาบันอุเทนถวาย ไว้ และเตรียมเสื้อกันฝนไว้ 5,000 ชุด และในเวลา 20.00 น.จะประกาศหยุดเรียนตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย.เป็นต้นไป แบบไม่มีกำหนด น.ส.กุลทิพย์ กาลสัมฤทธิ์ แกนนำเยาวชนกู้ชาติ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของนักศึกษาครั้งนี้ ไม่ได้ตามกระแสและเลือกข้างพันธมิตรฯ แต่เป็นการเลือกข้างความถูกต้อง แต่ที่ผ่านมาเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย ซึ่งกรณีนักศึกษารามคำแหงถูกยิงขณะเดินทางไปนายกฯเป็นการปลุกพลังนักศึกษา การออกมาประกาศหยุดเรียนแม้ใกล้ช่วงสอบเพราะถ้าจบไปแล้วประเทศเดือดร้อน ก็ไม่มีความหมายอะไร มติการหยุดเรียนเป็นมติของนักศึกษาทั่วประเทศแล้ว อย่างไรก็ตามกิจกรรมการเคลื่อนไหวของนักศึกษาจะเป็นการให้ความรู้และแสดงความเห็นทางการเมือง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณอาคาร SC ตึกกิจกรรมอาคารเรียนร่วม นักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จ.ปทุมธานี นายอนุธีร์ เดชเทวพร อุปนายกฝ่ายกิจกรรมภายนอก ได้จัดโต๊ะลงชื่อถอดถอน นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่งเนื่องจากหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ โดยมีนักศึกษาให้ความสนใจมาร่วมลงชื่ออย่างต่อเนื่อง นับเป็นพลังอันบริสุทธิ์ที่ออกมาแสดงความเคลื่อนไหว และพร้อมเป็นกำลังใจให้กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อสู้ความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมไทย นักศึกษาบางคนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปิดกั้นของรัฐมนตรีบางคนที่ไม่ให้นักศึกษาออกมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองว่า เป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว เพราะนักศึกษาทุกคนต้องเรียนรู้ทางการเมืองถ้าเราไม่สนใจทางการเมืองก็จะเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้ ดังนั้นเราในฐานะของนักศึกษาจึงต้องออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในครั้งนี้ นายอนุธีร์ เดชเทวพร กล่าวว่า การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเป็นเรื่องที่ถูกต้อง การร่วมลงชื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรี ก็เป็นการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่ผู้นำรัฐบาลบริหารประเทศผิดพลาดจนสร้างความเสียหายให้กับประเทศ ขณะนี้มีนักศึกษามาร่วมลงชื่อถอดถอน 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา ประมาณเกือบ 1000 คนแล้ว และก็จะเปิดให้ลงชื่อถอดถอนไปอย่างต่อเนื่องทุกวัน

ขอขอบคุณที่มาจาก http://news.sanook.com/politic/politic_302879.php
โพสต์โดยนางสาว วิมลวรรณ บุญเจริญ ID 5131601177 sec1

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

“หอกหัก” สติแตกสั่ง ตร.นับร้อยอารักขาบ้านพัก


นายกฯ เกลียดตัวกินไข่ สั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจจากนครบาล 4 ระดมสรรพกำลังเต็มอัตราศึกกว่า 3 กองร้อยรายล้อมคฤหาสน์โอฬาร หวั่นนักศึกษารามคำแหงเดินขบวนเหยียบจมูกถึงถิ่น ทวงถามคดี นศ.ถูกลอบยิง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ชอบความเป็นอิสระ มีเพียง รปภ.ประจำตัวอารักขาไม่กี่คน
วันนี้ (5 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณหมู่บ้านโอฬาร ซอยนวมินทร์ 81 ซึ่งเป็นบ้านพักของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ว่าตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ (5 ก.ย.) มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล 4 ประกอบด้วย สน.ลาดพร้าว บึงกุ่ม อุดมสุข ประเวศ วังทองหลาง บางชัน โชคชัย และหัวหมาก กว่า 100 นาย ได้มาตรึงกำลังดูแลรักษาความเรียบร้อยบริเวณโดยรอบบ้านพัก รวมถึงแยกต่างๆ หลังจากที่เมื่อวานนี้ (4 ก.ย.) มีกลุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงจะเดินทางมาชุมนุมบริเวณบ้านพักของนายกรัฐมนตรี แต่ถูกลอบยิงจนได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 ราย
มีข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า บรรยากาศทั่วไปยังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และในการดูแลรักษาความปลอดภัยครั้งนี้ได้ใช้กำลังตำรวจ 3 กองร้อย ผลัดเปลี่ยนกันเข้าเวรตลอด 24 ชั่วโมง โดยดูแลรักษาความปลอดภัยยังคงเป็นไปอย่างเข้มงวด ซึ่งมาตรการรักษาความปลอดภัยดังกล่าวได้ดำเนินการมาตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
วิเคราะห์
จากข่าวข้างต้นสามารถวิเคราะห์ได้ว่าลุงหมักเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเองมากซึ่งคล้ายกันกับกรณีของอดีตนายกทักษิณที่ก่อนหน้าจะออกจากตำแหน่งก็ได้มีการรักษาความปลอดภัยในบ้านพักเต็มอัตรา
ขอขอบคุณแหล่งข่าวจากhttp://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000105214
โดย นายรวมเลิศ สุภานันท์ 5131601165

“สื่อเทศ” โหมข่าวประชามติ “หมัก” แหล! สาปแช่งตกเก้าอี้


สื่อทั่วโลกประโคมข่าว พันธมิตรฯ ชุมนุมยืดเยื้อเพื่อขับไล่รัฐบาลหอกหักโดยยึดหลักอสิงหา ประณามจัดทำประชามติเมื่อสายเสียแล้ว ไม่เชื่อมั่นในความโปร่งใส ชี้อนาคตสมัครลาออกสถานเดียว
วันนี้ (5 ก.ย.) สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ ยังคงเกาะติดสถานการณ์การชุมนุมประท้วงในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดคือเรื่องที่รัฐบาลจะทำประชามติหาทางออกให้กับปัญหา โดยนายโจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวบีบีซีระบุว่า ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าการจัดทำประชามติในครั้งนี้จะช่วยคลี่คลายปัญหาในสังคมไทยที่แตกแยกออกเป็น 2 ขั้วได้อย่างไร โดยทุกอย่างขึ้นอยู่กับคำถามที่จะใช้ และความโปร่งใสในการลงประชามติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการซื้อเสียง
ขณะที่ นายเจมมี มัสเซิล รองประธานสมาคมเอเชีย ให้ความเห็นว่า การทำประชามติไม่ใช่ทางออกของปัญหาที่มีรากเหง้ามาจากการกล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรีว่าฉ้อราษฎร์บังหลวง
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า แม้ว่ารัฐบาลจะมีมติให้มีการจัดทำการลงประชามติเกี่ยวกับอนาคตของรัฐบาล แต่อนาคตของนายสมัคร สุนทรเวช เวลานี้ยังคลุมเครือ ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน
ขณะที่ นิตยสารเศรษฐกิจฟาร์อีสต์ อีโคโนมิกส์ รีวิว ฟันธงว่า ทางเดียวที่จะทำให้ประชาธิปไตยของประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ ก็คือการที่นายกรัฐมนตรีต้องลาออก
วิเคราะห์
จากข่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่าสื่อต่างประเทศคาดคะเนแล้วว่ารัฐบาลจะเป็นฝ่ายแพ้และการทำประชามติไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหรือกู้วิกฤตณ์ของรัฐบาล
ขอขอบคุณแหล่งข่าวจากwww.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000105220
โดย นายรวมเลิศ สุภานันท์ 5131601165

นศ.ประณาม “หมัก” ปากมอมตำหนิเข้าร่วมชุมนุมพันธมิตรฯ























วันนี้ (5 ก.ย.) บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในช่วงบ่าย กลุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ปี 1 และคณะครุศาสตร์วิศวกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตเทเวศน์ ทยอยขึ้นเวทีปราศรัยโจมตี นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี พร้อมเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่ง หลังกล่าวตำหนินักศึกษาเข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ

ด้าน นายศิริชัย ไม้งาม ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 ขึ้นเวทีปราศรัย โดยยืนยันถึงการดำเนินการอย่างจริงจังกับมาตรการตัดน้ำ-ตัดไฟ เพื่อกดดันขับไล่นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้มีการดำเนินการไปแล้วเมื่อวานนี้ ที่กรมประชาสัมพันธ์ ซอยอารีย์ ประมาณ 3 ชั่วโมง ขณะที่ในช่วงเช้าในวันนี้ อาจจะมีการหยุดจ่ายน้ำในบางจุด และตัดไฟฟ้ากว่า 30 จุด ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ

วิเคราะห์
จากข่าวข้างต้นกรณีที่นิสิต-นักศึกษาออกมาร่วมกับพันธมิตรนั้นจะเห็นได้ว่าเป็นแค่กลุ่มเดียวเท่านั้นไม่ไช่ทั้งหมด และกรณีการตัดน้ำและตัดไฟตามข่าวโดยส่วนตัวแล้วผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งเพราะจะทำให้ประชาชนทั่วไปเดือดร้อนและส่งผลถึงการประกอบอาชีพอีกด้วย

ขอขอบคุณแหล่งข่าวจากhttp://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000105328

โดย นายรวมเลิศ สุภานันท์ 5131601165

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

ทนอยู่ร่วมไม่ได้! เตชลาออก หมักยื้อไม่อนุมัติ


วัน เดียวกัน ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวนายปกศักดิ์ นิลุบล เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ ลาออกจากตำแหน่งว่า ทราบข่าวดังกล่าวจากคนรู้จักว่านาย ปกศักดิ์ลาออกจากตำแหน่งจริง

แต่ยังไม่เห็น หนังสือลาออกอย่างเป็นทางการ และไม่ทราบเหตุผลของการลาออกครั้งนี้ และไม่ทราบว่ายื่นลาออกตั้งแต่วันใด อย่างไรก็ตามเรื่องนี้นายเตช บุนนาค รมว.ต่างประเทศ คงทราบเรื่องแล้ว เพราะการลาออกต้องได้รับอนุญาตและลงนามโดยรมว.ต่างประเทศ
ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวนายเตชจะลาออกจากตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศด้วย นายธานีตอบว่า ยังไม่ ทราบข่าวนี้ มีแต่ผู้สื่อข่าวโทรศัพท์มาสอบถามเป็นจำนวนมากจนถึงขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่ยืนยันได้ชัดว่านายเตชลาออกจริง

มีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า นายเตช บุนนาค รมว.ต่างประเทศ ได้ยื่นใบลาออกต่อนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี แล้วเช่นกัน

โดยได้ยื่นผ่านนายสหัส บัณฑิตกุล รองนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่เวลา 17.00 น. แต่ ปรากฏว่านายสมัครไม่อนุมัติใบลาออกของนายเตช ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การลาออกของนายเตชครั้งนี้ได้อ้างเหตุผลผ่านคนใกล้ชิดนายสมัครในทำนองว่า เป็น ห่วงภรรยาที่นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เกรงจะเกิดความเครียดจนส่งผลกระทบหรือเส้นเลือดฝอยแตก เพราะตั้งแต่นายเตชมารับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ภรรยาก็มีอาการเครียดมาตลอด ทั้งนี้ นายเตชจะไม่เดินทางไปทำงานที่กระทรวงตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย.เป็นต้นไป สำหรับนายเตชได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ เมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา


ส่วนการลาออกของนายปกศักดิ์ นิลุบล เลขานุการรมว.ต่างประเทศ มีการเปิดเผยเหตุผลของการลาออกว่าเป็นเพราะไม่พอใจนโยบายของนายกรัฐมนตรี

อย่าง ไรก็ตาม แกนนำพรรคพลังประชาชนประเมินกันว่าการลาออกของนายเตชถือเป็นแรงกดดันทางการ เมืองอีกทางหนึ่ง ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนให้เห็นภาพว่ารัฐบาลนายสมัครกำลังตกอยู่ภายใต้แรงกด ดันจากรอบด้าน และนับวันจะยิ่งเหลือหนทางต่อสู้เพื่อรักษาอำนาจยากขึ้น เรื่อยๆ ทั้งนี้ แม้นายสมัครยังไม่เซ็นอนุมัติใบลาออกของนายเตช แต่เชื่อว่าสุดท้ายคงไม่สามารถเหนี่ยวรั้งไว้ได้ อย่างไรก็ตาม หากนายเตชได้รับการอนุมัติให้ลาออกแล้ว ก็คงมีการมอบหมายให้นายสหัส ซึ่งเป็นรองนายกฯที่กำกับดูแลกระทรวงการต่างประเทศ ทำหน้าที่รักษาการแทนไปก่อน ซึ่งนายสหัสก็ไปขอใช้สถานที่ทำงานในที่กระทรวงการต่างประเทศมาก่อนหน้านี้ แล้วตั้งแต่ช่วงที่ กลุ่มพันธมิตรฯบุกยึดทำเนียบรัฐบาล


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โพสโดย กฤตย์ อิสสระพันธุ์ รหัส 5131601231

อังกฤษเตรียมบังคับเด็กมัธยมปลายห้ามลาออกก่อนอายุ 17 ปี



ลอนดอน 3 ก.ย. - เด็กอังกฤษที่จะเริ่มการศึกษาในระดับมัธยมปลายในสัปดาห์นี้เป็นเด็กกลุ่มแรกที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบห้ามลาออกก่อนมีอายุครบ 17 ปี และจะปรับขึ้นเป็น 18 ปีในปีหน้า ภายใต้มาตรการลดจำนวนเยาวชนเลิกเรียนกลางคันทั้งที่ยังมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม
ทางการเตือนว่า จำนวนงานไร้ฝีมือในอังกฤษจะเหลือน้อยลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ส่งผลให้เยาวชนจำนวนมากตกงานหากไม่มีวุฒิการศึกษาหรือความเชี่ยวชาญด้านวิชาชีพ ปัจจุบันเยาวชนอังกฤษอายุ 16-18 ปีมีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่เรียนหรือฝึกวิชาชีพเต็มเวลา ระเบียบใหม่นี้จะมีทางเลือกให้เด็กศึกษาต่อหรือฝึกวิชาชีพเมื่ออายุ 16 ปี จนกระทั่งอายุครบ 17 ปีจึงจะเลิกเรียนได้ สำหรับเกณฑ์ก่อนหน้านี้ที่ห้ามเด็กเลิกเรียนก่อนอายุ 16 ปีนั้นทางการอังกฤษใช้มาตั้งแต่ปี 2515
ทางการอังกฤษยังได้เปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษาอีกหลายอย่างที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เปิดภาคการศึกษาใหม่ในสัปดาห์นี้ ทำให้ครูใหญ่หลายคนบ่นว่ามีงานล้นมือ.

ขอบคุณข้อมูลจาก http://news.mcot.net/international/inside.php?value=bmlkPTUzNDgwJm50eXBlPXRleHQ=
โพสโดย น.ส.เกษศิณี กรกนก ID 5131601012

สื่อนอกอ้างนักวิเคราะห์ ชี้ “หมัก” มีแต่ “แพ้” หลังประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน


เอเจนซี - สื่อต่างชาติ ชี้ “หมัก” ประสบปัญหาในการกุมอำนาจและรักษาเก้าอี้ หลังประกาศภาวะฉุกเฉินที่ถูกเยาะเย้ยจากฝ่ายต่อต้านรัฐบาล พร้อมอ้างนักวิเคราะห์ระบุนายกรัฐมนตรีรายนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีแต่แพ้กับแพ้ สำนักข่าวเอพีรายงานว่าผู้ชุมนุมในวันนี้ (3) ยังคงนั่งอยู่ตามสนามหญ้าของทำเนียบรัฐบาล พวกเขารับฟังผู้ปราศรัยตำหนินายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช และประกาศอยู่ต่อจนกระทั่งเขาลาออกจากตำแหน่ง
นางศิรินันท์ ยศก้องกล้า นักธุรกิจหญิงวัย 45 ปี ให้สัมภาษณ์กับเอพี ว่า “พระราชกำหนดฉุกเฉินจบลงด้วยการดึงผู้ชุมนุมให้เพิ่มขึ้นมากกว่าจะสร้างความกลัวให้ผู้ประท้วง”
เอพีรายงานต่อว่า ขณะที่ สมัคร เมื่อวันอังคาร (2) พยายามหาทางระงับความไม่สงบระหว่างฝ่ายสนับสนุนและต่อต้านรัฐบาล อีกด้านหนึ่งเขาต้องประสบปัญหาเพิ่มเติม หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติที่อาจนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชนและห้ามเขายุ่งเกี่ยวกับการเมือง
สมัคร บอกว่า เขาไม่มีทางเลือกเว้นแต่พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หลังจากสัปดาห์ความตึงเครียดทางการเมืองได้ระเบิดเข้าสู่จลาจลและการต่อสู่บนท้องถนนระหว่างผู้ประท้วงผู้มั่งมีในเมืองหลวงและฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่มาจากชนบท ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 รายและบาดเจ็บหลายสิบคน
พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินของเขา ได้ให้มอบอำนาจให้กับทหาร ห้ามประชาชนชุมนุม จำกัดเขตอาคารราชการ และห้ามสื่อมวลชนนำเสนอข่าวที่ยุยงความไม่สงบ
แต่คำแถลงที่แยกกัน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกกล่าวว่า ทหารจะไม่ติดอาวุธ และจะปฏิบัติการเพียงกั้นการปะทะระหว่างผู้ประท้วงเท่านั้น
“ถ้าทหารต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เราจะไม่ใช้กำลังและจะอยู่ข้างประชาชน” อนุพงษ์ กล่าว พร้อมปฏิเสธข่าวลือว่าทหารอาจก่อรัฐประหารยึดอำนาจอีกครั้ง “ถ้าทหารทำรัฐประหาร มันยิ่งจะสร้างปัญหาเพิ่มมากขึ้น”
นายธิตินันท์ พงษ์สิทธิรักษ์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “มันแค่ความสงบชั่วคราวและพายุลูกใหม่กำลังก่อตัวขึ้น”
“หลังของสมัคร พิงติดกำแพง” ธิตินันท์ กล่าว "ถ้าเขาบังคับใช้พระราชกำหนดฉุกเฉิน อาจมีความรุนแรงเพราะผู้ประท้วงไม่เคลื่อนที่ไปไหน แต่ถ้าเขาไม่บังคับใช้ จะมีนัยว่าประเทศอยู่ในภาวะอนาธิปไตย มันเป็นสถานการณ์ที่มีแต่แพ้กับแพ้ของนายสมัคร”

ขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9510000104363
โพสต์โดย น.ส.เกษศิณี กรกนก ID 5131601012
น.ส. วรรณิศา ธะนาคำ ID 5131601169
นาย ชาญภิวัฒน์ คำมะโนชาติ ID 5131601042

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

ทหารประชาธิปไตย

ในขณะที่เกิดวิกฤตการณ์ทาง การเมืองอยู่ในขณะนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าทหารอยู่ที่ไหน? ทำไมจึงไม่ออกมาช่วยเหลือตำรวจ ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เรื่องนี้มีคำตอบจากผู้นำกองทัพ อันได้แก่ พลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมองว่า สถานการณ์ยังไม่ร้ายแรงถึงกับต้องใช้กำลังทหาร

ทหารไม่สามารถออกมาทำหน้าที่ ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ได้ในทันทีเหมือนกับตำรวจ เว้นแต่จะมีประกาศใช้กฎหมายพิเศษ เช่น กฎหมายการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร กฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือกฎอัยการศึก แต่ผู้นำกองทัพเห็นว่าสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ “ฉุกเฉิน” และเชื่อว่ารัฐบาลและตำรวจ จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้โดยไม่ใช้ความรุนแรง

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา การ นำกำลังทหารออกมารักษาความสงบเรียบร้อย ตามท้องถนน มักจะบานปลายกลายเป็นการยึดอำนาจ หรือปฏิวัติรัฐประหาร ตามสถานการณ์ที่นำพาไป แถลงการณ์ของคณาจารย์ มหาวิทยาลัยดังของประเทศ จึงเรียกร้องให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยุติยุทธวิธีการเผชิญหน้า รัฐบาลต้องไม่ใช้กำลังปราบปราม และถอยคนละก้าว เพื่อป้องกันมิให้เกิดรัฐประหาร

ระดับผู้นำกองทัพได้ยืนยันมาโดยตลอดว่าทหาร จะไม่ปฏิวัติทั้งยังได้เตือนสติทุกฝ่ายอย่าได้มุ่งเอาชนะคะคานซึ่งกันและกัน ผบ.ทหารสูงสุดกล่าวถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตอนหนึ่งความว่า เอาชัยชนะไปทำอะไร เมื่อชนะแล้วไปอยู่ กับซากปรักหักพัง ไม่มีประโยชน์อะไร สิ่งปรักหักพังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าคนจิตใจพัง คนในชาติแตกแยก จิตใจสลายไม่มีประโยชน์อะไร

เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้ ฝ่ายทหารไม่ต้องการทำรัฐประหาร ตามคำกล่าวของ ผบ.ทหารสูงสุด “เนื่องจากมีบทเรียนจากการปฏิวัติที่ผ่านมา” หมายถึงการยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ตามด้วยการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว และตั้งรัฐบาลชั่วคราว เพื่อปกครองประเทศ แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหา ทั้งในด้านการเมือง ทั้งยังทำให้เศรษฐกิจถดถอย

ไม่เฉพาะแต่รัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เท่านั้น ที่คณะรัฐ-ประหาร นอกจากจะล้มเหลวในการบริหารประเทศ เนื่องจากปัญหาของบ้านเมืองมีความซับซ้อนมากขึ้นแล้ว ยังล้มเหลวแม้แต่ในการสืบทอดอำนาจ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คือ คณะ รสช. ซึ่งพยายามใช้อำนาจรัฐประหารสืบทอดอำนาจ แม้จะประสบความสำเร็จระยะแรก แต่ ในที่สุดก็ล้มเหลวสิ้นเชิง

นับเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดี ที่ ผบ.ทหารสูงสุดกล่าวว่า ทหารเดี๋ยวนี้ค่อนข้างจะเป็นประชาธิปไตย จึงเชื่อว่าจะไม่มีการรัฐประหาร ดังที่คณาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นห่วง ว่าจะนำชาติไปสู่หายนะ บทบาทสำคัญของทหารตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ คือการพิทักษ์ รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์ของชาติ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย.

ที่มา http://www.thairath.com/news.php?section=politics01&content=102662

Post by Nuttachai Nalampang ID 5131601061

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

ภาพชัดๆ “ปืนจ่อหัว” พิสูจน์ “ความด้าน” ของตำรวจไทยและ “สมัคร”



นี่หรือแค่มาติดคำสั่งศาล
ไล่ต้อนกันยังกะเป็นวัวเป็นควาย

คำโกหกของ"สมัคร สุนทรเวช"และ ตำรวจไทย
"เมื่อเช้านี้ตำรวจก็ดำเนินการตามคำสั่งศาล ก็เขาก็ไปช่วยเจ้าหน้าที่ศาลดำเนินการ ศาลสั่งอะไรก็ดำเนินการตามนั้น เข้าไปจนกระทั่งจะจบ เมื่อเช้าก็จะเอาซะให้จบก็ได้ ไปๆ มาๆ ก็ว่าเดี๋ยวจะปะทะกัน ก็เดินหน้าไปหน่อยเดี๋ยวจะปะทะ จะเลือดตกยางออก ก็บอกอย่างนั้นก็ถอยออกมาก็แล้วกัน"
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี แถลงที่กองบัญชาการกองทัพไทย ภายหลังจากการประชุมสภากลาโหม เย็นวันที่ 29 สิงหาคม 2551
“ต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเพราะเขามีอยู่สองมือแล้วถืออาวุธที่เป็นอาวุธยาว การเคลื่อนตัวไปก็จะมีโอกาสที่จะเกิดเป็นภาพนั้นขึ้นมาได้ แต่ไม่ใช่เจตนาจะไปเอาปืนจ่อหัวอย่างแน่นอน จึงไม่ควรเอาภาพในจุดเดียวมาขยายความเพื่อให้เกิดภาพลบกับองค์กร”
พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก.ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงเมื่อเวลา 11.45 น. วันที่ 30 สิงหาคม 2551

“ท่านเห็นไหมครับว่าไอ้รูปปืนที่เอามาจี้กัน สมัยนี้มันใช้ปืนอะไรครับเวลานี้ ปืนประจำกายในเวลานี้มันเอ็ม 16 ทั้งนั้น แล้วไอ้รูปที่เอาปืนมาจ่อ มันรูปที่ไหน ปืนมันรูปร่างพิสดารยังไงมันอยู่ในระบบการปราบปรามนี้หรือเปล่า แล้วในที่สุดก็ไม่ได้เอาปืนไปปราบปรามเลยสักกระบอกเดียวครับ แต่มีรูปมายืนยัน เขากำลังพิสูจน์กันอยู่ กำลังดูเครื่องแต่งกาย ดูลักษณะปืน มันไม่มีปืนอย่างนี้อยู่ในกระบวนการปราบปราม แล้วไม่ได้ใช้ปืนปราบปราม เขาใช้กระบอก ใช้โล่ ใช้อะไรแต่งตัวทั้งนั้น อย่างมากที่ทำก็คือตี กลอก กลอก กลอก ที่ว่าให้ถอยออกไป
“เพราะฉะนั้นเวลานั้นดูรูปเสียก่อนครับว่ามันปืนอะไร เวลานี้เขาใช้ปืนอะไรกัน ในเมื่อเขาไม่ได้ใช้ปืนสักกระบอกเดียวแล้วมีรูปมาจ่ออันนั้น ก็มีความพยายามทำกันทุกวิธีทางเอามาประกอบกันนั้น ไม่เป็นปัญหาหรอกครับ เรื่องนี้ผมรับผิดชอบไม่ต้องไปโทษใครด้วย ...” นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี กล่าวในที่ประชุมรัฐสภา วันที่ 31 สิงหาคม 2551


ภาพอีกมุมที่เห็นชัดเจนว่าตำรวจจงใจชี้ปากกระบอกปืนไปที่ประชาชน โดยไม่รู้สึกอะไรเลยกับสีหน้าหวาดกลัวของสุภาพสตรีที่อยู่ข้างหน้า
ประชาชนเผชิญหน้ากับปากกระบอกปืนด้วยสีหน้าที่ทั้งท้าทายและหวาดกลัว ทำให้นึกถึงภาพ"The Third of May 1808" ผลงานของ Fransisco Goya ที่เขียนภาพนี้ขึ้นเพื่อรำลึกเหตุการณ์ทหารของนโปเลียนสังหารชาวกรุงแมดริดที่ลุกฮือขึ้นต่อต้าน ระหว่างที่ฝรั่งเศสเข้ายึดครองสเปน ในปี 1808
ภาพ “The Third of May 1808” ผลงานของ Fransisco Goya
ปืนใคร?
นี่หรือภาพตัดต่อ?


"ภาพตัดต่อ" "ปืนนอกระบบ" คิดได้ไง?
กำลังตำรวจพร้อมอาวุธครบมือปีนกำแพงทำเนียบเพื่อคุ้มกัน"คำสั่งบังคับคดี"เข้าไปติดในทำเนียบ?



ภาพเหตุการณ์ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าไปไล่ทำร้ายประชาชนในทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.วันที่ 29 สิงหาคม 2551 ขณะนำคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลแพ่งที่ให้พันธมิตรฯ ถอนการชุมนุมออกจากทำเนียบรัฐบาลไปติด โดยตำรวจพร้อมอาวุธครบมือปีนกำแพงทำเนียบ เข้าไปใช้อาวุธปืนจี้หัวข่มขู่ประชาชนให้ออกไปจากบริเวณตึกแดง สะท้อนภาพการใช้ความรุนแรงเพื่อสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯ แต่นายสมัคร สุนทรเวช อ้างว่าตำรวจไม่มีปืน ไม่ได้ทำอะไรรุนแรง แค่ช่วยนำหมายศาลเข้ามาติดเท่านั้น ส่วนปืนที่เห็นในภาพอาจเป็นปืนนอกระบบ ขณะที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของตำรวจอ้างว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้ตั้งใจเอาปืนจ่อหัว และเป็นปืนที่ไม่ได้บรรจุกระสุน
ปืนยิงแก๊สน้ำตา?


ปืนประจำกายตำรวจแต่ละคน นายสมัครลองตรวจสอบดูว่าเป็น"ปืนนอกระบบ"หรือไม่



ยกกันมาเป็นโขยงเพื่อจะนำ"คำสั่งบังคับคดี"มาติด?

วิเคราะห์

จากรูปการณ์แล้วดูเหมือนว่าจะมีการใช้ปืนจ่อหัวจริงรวมถึงการมีปืนยิงแก๊สน้ำตาด้วยดังนั้นคำกล่าวอ้างของคุณสมัครก็ไม่เป็นความจริงเสียทีเดียว ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลและตำรวจดูเลวร้ายลงไปอีก

ขอขอบคุณแหล่งข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000103116

โดย นายรวมเลิศ สุภานันท์ 5131601165


“พัลลภ” เตือน “หมัก” อย่าดื้อเจออารยะขัดขืนทั่วเมือง

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี
อดีตรอง ผอ.รมน.ชี้ “สมัคร” จอมดื้อด้านจะถูกต่อต้านด้วยวิธีอารยะขัดขืน มั่นใจไม่ใช่ฝีมือพันธมิตรฯลอบวางระเบิดสร้างสถานการณ์ ลั่นหากมีการเผชิญหน้าไล่ตีกันทั่วบ้านทั่วเมือง ทหารต้องรักษาความมั่นคงของชาติ ระบุขออยู่ที่มั่น เพราะเพื่อนจำลองยังไม่ถูกจับ
วันนี้ (1 ก.ย.) พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (ผอ.รมน.) กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า หากทั้งพันธมิตรฯ และตำรวจยันกำลังอยู่อย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร เพราะนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ดื้อมากที่ไม่ยอมลาออก ซึ่งตนเชื่อว่าการชุมนุมคงกดดันนายสมัครมากขึ้น เพราะขณะนี้สหภาพรัฐวิสาหกิจเริ่มหยุดงานหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการประปา และการไฟฟ้า ตามวิธีของอารยะขัดขืน ทั้งนี้ การชุมนุมคงเน้นแบบตั้งรับตามที่ พล.ต.จำลอง ระบุ ที่ต้องการยึดอหิงสาและสันติวิธี เน้นตั้งรับ แต่ถ้าเป็นตนจะเน้นการรุกมากกว่า ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้เข้าไปดำเนินการอะไร เพราะจำลองยังไม่ถูกจับ และยังดำเนินตามยุทธวิธีอยู่ ส่วนกรณีที่พันธมิตรฯ ถูกตั้งข้อสงสัยว่า มีส่วนเกี่ยวพันเหตุระเบิดขึ้นเมื่อกลางดึกนั้น พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า พันธมิตรฯ จะสร้างสถานการณ์ทำไม มั่นใจว่า ไม่ใช่ฝีมือของพันธมิตรฯ เพราะ พล.ต.จำลอง ไม่ทำแบบนี้แน่ ตนรู้นิสัยดี แต่ถ้าเป็นตนก็ไม่แน่ ทั้งนี้ต้องไปดูว่าเมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปก.) ได้อยู่บริเวณดังกล่าวหรือไม่ นอกจากนี้ คิดว่าเป็นเพียงการข่มขู่มากกว่า ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีการตั้งเวที นปก.ตามจังหวัดต่างๆ ทำให้เกรงว่าจะมีการเผชิญหน้านั้น พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า หากเป็นเช่นนี้ก็อาจนำไปสู่จุดนั้น เพราะเมื่อตั้งเวทีใกล้กันก็คงจะมีกระทบกระทั่งกัน เมื่อถามว่าจะเป็นเหตุให้ทหารออกมาควบคุมสถานการณ์หรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า สถานการณ์แบบนี้หากตำรวจเอาไม่อยู่ ทหารก็ต้องออกมารักษาความมั่นคงของประเทศ ทหารคงไม่ปล่อยให้ประชาชนมาไล่ตีกันทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะเป็นเรื่องของความมั่นคงของประเทศ ทหารจำเป็นต้องมาควบคุมสถานการณ์
วิเคราะห์
จากข่าวข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า พล.อ.พัลลภ ท่านอยู่ข้างพันธมิตรน่าจะเป็นเพราะท่านเป็นเพื่อนสนิทกับพล.ต.จำลองและเคยรบด้วยกันในสงครามเวียดนามมาก่อนซึ่งกรณีนี้ช่วยให้ฝ่ายพันธมิตรมีเสียงมากขึ้นจากพล.อ.พัลลภ
ขอขอบคุณแหล่งข่าวจาก
โดย นายรวมเลิศ สุภานันท์ 5131601165

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ชาวกรุงเก่าสาปแช่ง-เผาหุ่น-ถ่มน้ำลายหุ่น"สนธิ-จำลอง"

เมื่อ เวลา 16.30 น. วันที่ 31 สิงหาคม ที่เวทีปราศรัยใหญ่ บริเวณบนถนนด้านข้างศูนย์ราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยากับศูนย์การค้าอยุธยา พาร์ค

ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งติดกับถนนสายเอเชีย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนกว่า 1,000 คน มารวมตัวกันเพื่อแสดงพลังต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ฯ และขอให้การสนับสนุนและมอบกำลังใจต่อนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี


ทั้งนี้ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ของ จ.พระนครศรีอยุธยา จำนวน 4 คน ประกอบด้วย

นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปรัฐบาล , นายสุรเชษฐ ชัยโกศล , นายพ้อง ชีวานันท์ , นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล ได้ขึ้นปราศรัย โจมตีการประท้วงของกลุ่มคนที่ไปยึดทำเนียบรัฐบาล และวิงวอนขออย่าให้ประชาชนทั่วประเทศให้การสนับสนุนทางความคิด และไม่ควรสนับสนุนเสบียงหรือเงินแก่กลุ่มพันธมิตร โดยระบุว่า กลุ่มแกนนำพันธมิตรไม่ได้ต่อสู้เพื่อประชาชนแต่ต่อสู้เพื่อพรรคพวกของ พันธมิตรฯ เองในการอยากเข้าไปในสภาด้วยการแต่งตั้ง เพราะหากลงเลือกตั้งชาวบ้านก็ไม่เลือก โดยกลุ่มคนพวกนี้ทำสำเร็จไปแล้วกรณีให้ ส.ว.จำนวนครึ่งหนึ่งมาจากการแต่งตั้ง และต่อไปหวังจะให้ ส.ส.มาจากการแต่งตั้งในสัดส่วน 70 : 30 หากเป็นเช่นนี้จะเรียกว่าประเทศปกครองด้วยประชาธิปไตยได้อย่างไร ต่อเรียกว่าคอมมิวนิสต์ ซึ่งแกนนำพันธมิตรคิดจะเอาประเทศเป็นคอมมิวนิสต์


จาก นั้นชาวบ้านร่วมกันถ่มน้ำลายใส่หุ่นและเผ่าหุ่นของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล , พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และ นายสุริยะใส กะตะศิลา แกนนำกลุ่มพันธมิตร จากนั้นตะโกนสาปแช่ง

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน

กฤตย์ อิสสระพันธุ์ รหัส 5131601231

สังเวยเหตุตร.ปะทะม็อบ เด้ง"อัศวิน"


"จงรัก"คุมสถานการณ์แทน "สมัคร"ปูดอีกคนเบอร์ใหญ่ ประชุมวางแผนที่โรงพยาบาล ทนายขอศาลแนะนำบังคับคดี



"สมัคร"บอกใจตกที่ข้อเท้า รู้ข่าวศาลให้ยึดทำเนียบต่อได้ ถามหัวหน้ารัฐบาลน่าร้องไห้หรือไม่ ปูดคนเบอร์ใหญ่ประชุมที่ รพ. ยันไม่กลัวพันธมิตร ลั่นต้องจบ ปลื้มชาวบ้านให้กำลังใจขณะเดินจ่ายตลาด ฝากดูแลอย่าให้อันธพาลครองเมือง เด้ง"อัศวิน"ช่วยราชการ ให้"จงรัก"รักษาการ ผบช.น. เชื่อสังเวยม็อบ ทนายรัฐบาลร้องศาลขอคำแนะนำ จะให้ทำอย่างไรหลังสั่งทุเลาบังคับคดี



"สมัคร"ยันไม่ได้กลัวพันธมิตรนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในรายการ "สนทนาประสาสมัคร" ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ชี้แจงสถานการณ์วุ่นวายในประเทศ โดยเฉพาะการบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตอนหนึ่งว่า ไม่ได้กลัวกลุ่มพันธมิตร แต่เกรงว่าบ้านเมืองจะเสียหาย ไม่ต้องการให้มีการปะทะเพราะจะเข้าแผนที่ต้องการให้ทหารออกมาปฏิวัติยึดอำนาจ แต่ทหารบอกแล้วว่าจะไม่ปฏิวัติ"การชุมนุมมีการรุกล้ำเกินกว่าที่ตกลงกันไว้ ล้ำรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 จนเด็กโรงเรียนราชวินิตมัธยมไปฟ้องร้อง สุดท้ายศาลแพ่งมีคำสั่ง 22.00 น. ให้มีการเคลียร์ถนนราชดำเนิน รุ่งเช้าขอหมายเอาตำรวจไปรื้อถอน ก็มีการกระทบกระทั่งกัน ก็หาว่าทำรุนแรง ต่อมาก็ไปร้องต่อศาลแพ่งขอบรรเทา ศาลก็ให้ แต่ข่าวออกมาว่าศาลอนุญาตให้ยึดตรงนั้นต่อไปได้ แล้วอย่างไร ใจผมตกไปอยู่ที่ข้อเท้าเลย อย่างนี้มันอีกแล้วหรือนี่ แล้วราษฎรตาดำอย่างผมจะรู้สึกอย่างไร" นายสมัครกล่าวนายสมัครกล่าวอีกว่า เมื่อเวลาเอเอสทีวีขอร้องศาลปกครอง ให้คุ้มครองที่จะออกอากาศ เวลานี้ฝ่ายรัฐบาลร้องศาลปกครอง ศาลปกครองบอกสั่งเอกชนไม่ได้ เมื่อเอกชนมีปัญหาศาลให้ความคุ้มครอง แต่บัดนี้ขอศาลปกครองให้คุ้มครอง แต่ศาลปกครองสั่งเอกชนไม่ได้ อย่างนี้มันน่าร้องไห้หรือไม่ หัวหน้ารัฐบาลมันน่าร้องไห้หรือไม่ ปลุกระดมคนทั้งบ้านทั้งเมืองจนคนเข้าใจผิดหมด ศาลกลับคุ้มครองให้ทำได้ ไหวไหมอย่างนี้ พูดตรงๆ เลย เพราะต้องรับผิดชอบกับบ้านเมืองนี้



ปูดคนเบอร์ใหญ่ประชุมที่รพ."อย่านึกว่าผมไม่รู้ว่าใครทำอะไรกันอย่างไร คนเบอร์ใหญ่ไปประชุมที่โรงพยาบาลทางเหนือของกรุงเทพฯ ใครไปประชุมกันอย่างไร เบอร์คนใหญ่คนไหนผมมีหมด แต่บังเอิญว่าคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีชื่อ สมัคร สุนทรเวช ที่ไม่ใช่ปลิดทิ้งไปง่าย และใช้คติว่าความกลัวทำให้เสื่อม เพราะไม่อยากให้บ้านเมืองมันเสื่อมไปมากกว่านี้ ผมจึงไม่กลัว" นายสมัครกล่าว และว่า หากยังยึดยังอยู่ทำเนียบก็เอาไว้ก่อน แต่ต้องจัดการได้ บ้านเมืองปล่อยไปอย่างนี้ไม่ได้ มันต้องถึงจบ "หลายเรื่องที่มีข่าวมา ทำไมผมจะไม่รู้ คนจะมาล้อมบ้านผม มีมาหยิบมือหนึ่งมาก่อน แล้วทำไมไม่มา หรือมีการต่อรองอะไร แต่ของพรรค์นี้มันไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ รู้อะไรกันอยู่ แต่ผมเที่ยวพูดอะไรไปได้" นายสมัครกล่าว และว่า เรื่องการเข้าเฝ้าฯ และสื่อบอกว่าหนีนั้น ไม่มีเหตุลที่จะต้องหนี แม้มีข่าวออกมาว่าคนใหญ่คนโตในอดีต ที่จะใช้วิธีการคิกแน็ป (ลักพา) นายกรัฐมนตรี โดยจะให้คนที่เชี่ยวชาญลูกระเบิดไปโยนใส่บ้าน แต่ตนเคยโดนระเบิดหย่อนที่บ้านมาแล้ว แล้วบอกว่าทำเองนายสมัครตอบคำถามประชาชนที่ถามเข้ามาในรายการ เพื่อให้กลุ่มพันธมิตรยุติการเคลื่อนไหว ไม่เช่นนั้นกลุ่มพลังเงียบจะออกมาจัดการว่า กรุณาอย่าออกมา เพราะเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีจะต้องจัดการให้มันจบจนได้ คนพวกนี้มีแค่หยิบมือเดียว แต่ล่อหลอกเหมือนหุ่นยนต์ที่สั่งซ้ายหันขวาหันได้ คนที่อยู่รวมกันจะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ส่วนคำถามที่เสนอให้มีการส่งบัตรแสดงความคิดเห็นทั่วราชอาณาจักร นายสมัครได้หัวเราะ และกล่าวว่า ไม่ต้องหาเรตติ้งอย่างนี้หรอก



จ่ายตลาดอ.ต.ก.ชาวบ้านให้กำลังใจผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมัคร เดินทางไปจัดรายการ "สนทนาประสาสมัคร" ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) กรมประชาสัมพันธ์ ถนนวิภาวดี โดยมีนายเผชิญ ขำโพธิ์ รักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์รอต้อนรับ ท่ามกลางการอารักขาจากตำรวจนครบาล ประมาณ 150 นาย และหลังจัดรายการเสร็จ นายสมัครได้ตอบคำถามถึงการประชุมสภาจะสามารถดับชนวนได้หรือไม่ว่า "ควรจะๆ" ก่อนโบกมือให้กับประชาชนที่มารอให้กำลังใจ พร้อมขึ้นรถเดินออกไปต่อมาเวลา 09.55 น. นายสมัคร เดินทางไปจ่ายกับข้าวที่ ตลาด อ.ต.ก. ประมาณ 30 นาที โดยซื้อทั้งของสดและของแห้ง อาทิ ไก่ ปลาอินทรี ปลาจะละเม็ด ปลาทู หมึก กุ้ง ผักสด และผลไม้ พร้อมขนมขบเคี้ยว โดยซื้อเป็นจำนวนมาก จนทำให้เลขานุการส่วนตัวต้องควักเงินจ่ายจนมือเป็นระวิง ทั้งนี้ระหว่างการเดินจ่ายตลาด ได้มีประชาชนจำนวนมากเข้ามาให้กำลังใจ พร้อมมอบดอกไม้ จนนายสมัคร ต้องห้ามไม่ให้ใครมามอบดอกไม้ พร้อมกล่าวว่า "มีกล้องมาถ่ายเยอะแยะ เดี๋ยวเขาจะว่าผมอีก" ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีประชาชนอีกคนเข้ามาถามว่า หลังจากที่เข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม เป็นอย่างไรบ้าง นายสมัครตอบว่า "ห้ามเล่าๆ เขาให้เล่าไม่ได้ แต่เป็นเรื่องดี ทั้งนี้ขอให้ประชาชนทุกคนติดตามการประชุมร่วม 2 สภา บ่ายนี้" จากนั้นนายสมัครจะเดินทางกลับ แต่การจราจรในตลาด อ.ต.ก.ติดขัด จึงนั่งรอที่ม้านั่งในบริเวณตลาด พร้อมพูดคุยกับประชาชนอย่างเป็นกันเอง โดยนายสมัคร รับปากชาวบ้านว่าจะไม่ลาออก และดีใจที่มีคนมาให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก ขณะนั้นหญิงชราคนหนึ่งได้ถามนายสมัครว่า "นายกฯใจดีเกินไป ทำไมไม่ใช้ระเบิดกับพวกพันธมิตร" นายสมัครตอบว่า "ต้องใจดี ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเหยื่อ ผมจะไม่ยอมให้มีการใช้ระเบิดเกิดขึ้น"@ ขอร้องอย่าให้อันธพาลครองเมืองนายสมัครกล่าวว่า ไม่เหนื่อยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าเหนื่อยคงมาเดินตลาดอย่างนี้ไม่ได้ เมื่อถามว่าเครียดหรือไม่ นายสมัครชี้ให้ดูที่หน้า พร้อมกล่าวว่า "ดูเอาเองว่าเครียดหรือเปล่า" ทั้งนี้ก่อนที่นายสมัคร จะเดินขึ้นรถ ได้หยุดยืนให้สื่อมวลชนถ่ายภาพอย่างอารมณ์ดีพร้อมกล่าวขึ้นมาเองว่า "มีชาวบ้านมาบอก ขอร้องให้นายกฯอย่าปล่อยให้อันธพาลครองเมือง" ก่อนที่จะเดินขึ้นรถแวน สีดำ ทำเบียน ศร 3333 ออกไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นนายสมัครได้สั่งให้รถขบวนไปทางถนนวิภาวดี ก่อนกลับรถ วกมาเข้าที่ถนนกำแพงเพชร ผ่านหน้าตลาด อ.ต.ก.อีกครั้ง แล้ววิ่งไปตามถนนสามเสน และเลี้ยวเข้ากองทัพภาคที่ 1 ในเวลา 11.30 น. ต่อมาอีกประมาณ 25 นาที รถที่นายสมัคร นั่งได้ออกมาพร้อมรถติดตาม วิ่งย้อนไปทางตลาด อ.ต.ก.เป็นครั้งที่ 3 ทำให้สื่อมวลชนที่ติดตามอยู่แปลกใจวิ่งลงไปดู ก่อนพบว่ามีเพียงเลขานุการนายสมัครนั่งอยู่ พร้อมกล่าวว่า นายสมัครไม่ได้มาด้วย อย่างไรก็ตาม คาดว่านายสมัครจะไปกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และเวลา 14.05 น. นายสมัคร ได้เดินทางมาถึงรัฐสภา@ "โกวิท"หวั่น2ม็อบปะทะกันพล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) แถลงภายหลัง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประชุมร่วมกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เพื่อประเมินสถานการณ์และวางแผนรับมือการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ว่า พล.ต.อ.โกวิท ห่วงใยใน 2 เรื่อง เรื่องแรกกำชับให้ป้องกันอย่าให้เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่ม นปก.กับกลุ่มพันธมิตร โดยให้ตำรวจป้องกันอย่าให้ตีกัน รวมถึงให้ติดตามการประชุมรัฐสภาทุกระยะ เพื่อป้องกันเหตุวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการประชุม เนื่องจากคำพูดต่างๆ ในสภาอาจจะสร้างแรงกระเพื่อม นำมาสู่การเผชิญหน้าของ 2 กลุ่มได้ "อีกเรื่องกำชับให้ตำรวจที่อยู่ในส่วนภูมิภาคดูแลสถานที่ราชการในพื้นที่ป้องกันกลุ่มคนเข้าไปยึดพื้นที่ เพื่อกดดัน ต่อต้าน สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน โดยให้ผู้บังคับบัญชาการจังหวัดเป็นกำลังสำคัญให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในการควบคุมสถานการณ์ ลดปัญหาและไปทำความเข้าใจกับประชาชน" รองโฆษก ตร.กล่าว และว่า รวมทั้งสั่งให้ พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น.ดูแลด้านการจราจร ในวันที่ 1 กันยายนนี้ @ ตร.ยันลุยผู้ชุมนุมทำตามกฎหมายพล.ต.ต.สุรพลกล่าวว่า ขอยืนยันว่า การเข้าไปดำเนินการกับกลุ่มคนที่ผิดกฎหมายบุกรุกทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมานั้น ทำตามขั้นตอนกฎหมายทุกประการ ส่วนที่กล่าวหาตำรวจประพฤติมิชอบตามภาพข่าวปรากฏ ก็ให้กลุ่มคน หรือองค์กรต่างๆ แจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจได้ทั้งทางแพ่งและอาญา ซึ่งผลการพิจารณาของศาลที่ออกมาจะบ่งบอกว่า ตำรวจทำถูกต้องตามขั้นตอนกฎหมายแล้วหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ตำรวจยืนยันว่า ตำรวจจะยังจำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่ ใช้มาตรการต่างๆ ตลอดจนอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อควบคุมฝูงชนตามขั้นตอนกฎหมายเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินราชการ สถานที่ราชการจากผู้ละเมิดกฎหมายผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการประชุม พล.ต.อ.โกวิท ได้ลงมาตรวจดูของกลาง อาวุธต่างๆ จำนวนมากที่ยึดได้ จากหลังเวทีพันธมิตรที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ และจากสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที@ ขอศาลแนะนำที่สั่งทุเลาบังคับคดีด้านนายศุภชัย ใจสมุทร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า หลังจากที่ศาลได้มีคำสั่งให้ระงับการบังคับคดีกรณีที่มีคำสั่งให้กลุ่มพันธมิตรออกจากทำเนียบรัฐบาล ทนายความของสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในฐานะโจทก์ จะไปยื่นคำร้องแถลงต่อศาลวันที่ 1 กันยายนนี้ โดยยืนยันว่า การดำเนินการของเจ้าหน้าที่บังคับคดีเป็นไปตามหมายของศาล ไม่ได้เป็นการกระทำใดที่ผิดกฎหมายประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง พร้อมยืนยันว่า การดำเนินการของตำรวจในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงานไม่ได้ทำเกินเลยไป และไม่ได้เป็นการนำหมายศาลไปเพื่อสลายการชุมนุม"นอกจากนี้ จะได้ยื่นคำร้องต่อศาลว่า หลังจากศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวนั้นยังไม่ได้เกิดผลอะไร กล่าวคือ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และข้าราชการ 6 หน่วยงานในทำเนียบรัฐบาลยังไม่สามารถเข้าไปทำงานได้ตามปกติ ซึ่งผลก็คือ ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเสียหาย และสิ่งที่ปรากฏชัดเจนคือ ผู้ชุมนุมไม่ได้ชุมนุมเพียงแค่ในพื้นที่สนามหญ้าเท่านั้น แต่ได้เข้าไปทุกอาคาร ซึ่งอาจมีผลให้เอกสารสำคัญของราชการที่เป็นเอกสารสำคัญของประเทศถูกทำลาย หรือเข้าไปค้นจนก่อให้เกิดความเสียหาย เพราะฉะนั้น วันที่ 1 กันยายน ทนายโจทก์จะยื่นคำร้องต่อศาลให้คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้จริงนั้น ศาลจะมีคำสั่งให้ดำเนินการได้อย่างไร เพื่อบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น" นายศุภชัยกล่าว@ ชี้ทำเนียบเป็นสถานที่อันตรายโฆษกกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า ที่ว่าเป็นการชุมนุมกันโดยสงบนั้น ขณะนี้มีการฝึกอาวุธกันแล้ว ยืนยันว่าทำเนียบรัฐบาลเป็นสถานที่อันตราย ไม่แน่ใจว่ามีการสะสมอาวุธกันเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ซึ่งจะนำเรียนต่อศาลถึงสภาพที่เกิดขึ้น และขออำนาจศาลเพื่อให้คำแนะนำว่าจะทำอย่างไรไม่เช่นนั้นบ้านเมืองเสียหาย การทำงานราชการก็ไม่ได้ สถานที่แห่งนั้นกลายเป็นสถานที่ที่กฎหมายเงื้อมมือเข้าไปไม่ถึง"ที่ต้องไปศาลวันที่ 1 กันยายน เพราะไม่ยอมรับคำสั่งศาล แล้วจะเอายังไงกัน ทุกวันนี้มีคนอยู่ในทำเนียบ ส.ว. 30 คน ส.ส.ประชาธิปัตย์ก็เดินแหวกหมายศาลเข้าไปกอดกันอยู่กับกบฏ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คำสั่งศาลแพ่งบังคับใช้กับแกนนำทุกรุ่น ไม่ว่าจะรุ่น 1 ยันรุ่นสุดท้าย ถ้าอยู่ตรงนั้นผิดหมด ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ไม่รู้กฎหมายเพราะถูกบิดเบือนหรือไม่ แต่อย่ามาอ้างว่าไม่รู้กฎหมาย" นายศุภชัยกล่าว@ เด้ง"อัศวิน"ให้"จงรัก"ลุยแทนรายงานแจ้งว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. มีคำสั่งให้ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. ไปช่วยราชการที่สำนักงาน ผบ.ตร.เป็นเวลา 30 วัน และให้ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ บช.น. รักษาการในตำแหน่ง ผบช.น.เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงพล.ต.ท.อัศวินกล่าวว่า ไม่มีปัญหาอะไรที่ถูกย้ายไปช่วยราชการ และยังไม่ทราบว่าจะให้ไปรับผิดชอบงานส่วนใด ก็แล้วแต่ผู้บังคับบัญชา "เขาให้ไปก็ไป เราเป็นคนมีวินัย ผู้บังคับบัญชาให้ไปอยู่ไหนก็ไป ไม่จำเป็นต้องถามเหตุผล คือผมเป็นคนง่ายๆ ให้อยู่ก็อยู่ ไปก็ไป ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น"ผู้สื่อข่าวถามว่า สาเหตุมาถูกย้ายเพราะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ หรือกรณีเกิดเหตุการยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมที่หน้า บช.น.เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา พล.ต.ท.อัศวินกล่าวว่า "คงไม่ใช่เรื่องนั้น เพราะเรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็ก ไม่น่าเป็นปัญหา ผมเชื่อว่าสำหรับผู้ที่จะมารับหน้าที่บัญชาการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมนั้น น่าจะเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ซึ่งต้องลองกันดู แต่รับรองได้ว่าผมไม่มีท้อ แต่เหมือนยกภูเขาออกจากอก" ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ พล.ต.ท.อัศวินได้รับคำสั่งก็สั่งให้ตำรวจในสำนักงานช่วยกันเก็บข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมด จากนั้นได้ลงมาหน้าอาคาร บช.น. สักการะอนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากฤษฎาภินิหาร กรมพระนเรศวรฤทธิ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำ บช.น.เป็นการอำลาจากตำแหน่ง@ อ้างเพื่อให้การสั่งงานคล่องตัวรายงานข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สาเหตุที่มีการย้าย พล.ต.ท.อัศวิน เนื่องจากมีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรในพื้นที่มานาน และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหลายหน่วยงานเข้ามาควบคุมสถานการณ์ จึงอาจจะทำให้การบังคับบัญชาไม่คล่องตัว จึงให้ พล.ต.อ.จงรัก ลงมาควบคุมสั่งการ ทั้งนี้เพื่อให้การบังคับบัญชาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับเหตุการณ์การใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจกับกลุ่มผู้ชุมนุม และกรณีมีการยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมบริเวณหน้า บช.น. เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา สร้างความสับสนและสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งๆ ที่ พล.ต.ท.อัศวิน บัญชาการอยู่ในที่เกิดเหตุ@ ตร.ยันไม่ได้ใช้แก๊สน้ำตาสลายม็อบวันเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดแถลงและสาธิตวิธีการควบคุมการชุมนุม มี พ.ต.ท.ภาสกร สถิตยุทธการ รอง ผกก. 1 กองบังคับการสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ (บก.ตปพ.) หัวหน้าหน่วยอรินทราช 26 ผู้นำชุดปฏิบัติการอาวุธพิเศษนำการสาธิต โดยนำอุปกรณ์ควบคุมฝูงชน ในลำดับความรุนแรงต่างๆ มาประกอบ พ.ต.ท.ภาสกรกล่าวว่า ในคืนวันที่ 29 สิงหาคม ที่กลุ่มพันธมิตรบุกเข้ามาที่ บช.น.นั้น ไม่มีการใช้แก๊สน้ำตา วันนั้นตามแผน ชุดปฏิบัติการอาวุธพิเศษของตนจะต้องเข้ามาทำหน้าที่ มีการเตรียมแผนควบคุมฝูงชนแบบสากล แต่ไม่ได้ใช้ ขณะที่เกิดเหตุมีเสียงระเบิดและกลุ่มควัน ชุดปฏิบัติการอาวุธพิเศษของตนยังอยู่ที่แยกวังแดง แต่ตนแยกมาถึงก่อน กว่าชุดปฏิบัติการฯจะมาถึงที่ บช.น.เหตุการณ์คลี่คลายไปแล้วเกือบ 15 นาที"ยืนยันว่าตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นชุดของนครบาล หรือชุดของหน่วยอื่นไม่ได้ใช้แก๊สน้ำตาในคืนนั้นแน่นอน ไม่มีคำสั่งจาก พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว รอง ผบช.น.ที่เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ให้ใช้แก๊สน้ำตาแต่อย่างใด และสถานการณ์ในคืนนั้นตามยุทธวิธีการควบคุมฝูงชน เพียงแค่ดัน ใช้โล่ ใช้กระบองก็เกินพอแล้ว สามารถสกัดได้แล้ว สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นต้องใช้แก๊สน้ำตา เต็มที่ก็แค่ฉีดน้ำควบคุม จึงไม่จำเป็นเลยที่จะใช้แก๊สน้ำตา ขออย่าใช้รูปเพียงรูปเดียวมาตัดสิน วันนั้นหากตำรวจจะใช้แก๊สน้ำตาต้องมีหน้ากากเตรียมป้องกันตัวเอง แต่วันนั้นตำรวจไม่ใส่หน้ากากด้วยซ้ำ" พ.ต.ท.ภาสกรกล่าว@ เผยแก๊สน้ำตาคนละชนิดกับที่ตร.ใช้พ.ต.ท.ภาสกรอธิบายว่า ปกติแก๊สน้ำตาชนิดกระป๋องจะไม่มีเสียงดัง ตูมตามเหมือนระเบิด แต่จะมีเสียง ปึก ตอนที่ดึงสลักก่อนขว้างเท่านั้น ไม่มีเสียงดังตูมตาม ส่วนชนิดยิงจะมีเสียงดังเหมือนปืนจากกระบอกยิง จากนั้นจะเหลือซากของกระป๋องบรรจุแก๊ส หรือกระเดื่องที่เป้าหมาย ซึ่งในกรณีนี้คือบริเวณจุดเกิดเหตุที่หน้า บช.น. จากกรณีนี้ ตำรวจเข้าตรวจพื้นที่โดยละเอียดแล้วไม่มีซากกระป๋องแก๊ส หรือกระเดื่อง เหลืออยู่เลย "แต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันคือกลุ่มควันที่หน้า บช.น.คืนนั้นคือแก๊สน้ำตา แน่นอนแต่เป็นคนละชนิดกับที่ตำรวจใช้ ที่จัดซื้อโดยกองพลาธิการและสรรพาวุธ ซึ่งจะเหมือนกันหมด เป็นของที่ผลิตในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ คุณสมบัติควันน้อย แต่ชนิดที่เห็นในภาพในคืนนั้น ควันเยอะกว่าของตำรวจใช้ 2 เท่า วิเคราะห์แล้วน่าจะเป็นของรัสเซีย หรือจีน ไม่ใช่ของตำรวจ ขณะนี้ทางผู้บังคับบัญชากำลังจะตั้งชุดเพื่อสืบสวนสอบสวนเหตุนี้ ในทุกๆ ด้านรวมถึงวิธีการยิงแก๊ส ยืนยันอีกครั้งตำรวจไม่ได้เป็นฝ่ายยิงแก๊สน้ำตาในคืนวันที่ 29 สิงหาคม" พ.ต.ท.ภาสกรกล่าว
โดยนางสาววิมลวรรณ บุญเจริญ ID 5131601177

ลาออก-ยุบสภาหรือปฎิวัติ?




จากสถานการณ์การเคลื่อนพลเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลของ "กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ตลอดจนเหตุการณ์การล้อมปราบ ปรามและจับกลุ่มประชาชนที่อยู่บริเวณสะพานมัฆวานและทำเนียบรัฐบาล โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้หลายฝ่ายเป็นกังวลว่าทางรัฐบาลจะใช้ " เครื่องมือของนิติรัฐ" ที่มีอยู่หลายอย่างไม่ว่าจะป็นกฎอัยการศึก หรือพรบ.ความมั่นคงฯ แต่ทางรัฐบาลก็ยังไม่ประกาศออกมาใช้ ซึ่งก็เรื่องดีส่วนวีธีทางในการคลี่คลายปัญหานั้นต้องใช้ "ขันติวิธี " คือต้องอดทนทั้งสองฝ่าย เพราะว่าประชาชนจะไม่ยอมรับถ้าเกิดเหตุการณ์รุนแรง ไม่ ว่าฝ่ายใดก็ตามที่มีการใช้ความรุนแรง ประชาชนส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่มีการบุกเข้ายึดในสถานทีโทรทัศน์ เอ็นบีที ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมาก หรือจะเป็นกรณี ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปติดหมายศาลภายในทำเนียบแล้วมีการปะทะกับผู้ชุมนุม หรือการปะทะ กันที่หน้าหน้าสนามม้านางเลิ้ง ซึ่งมีการใช้กำลังในการสลายผู้ชุมนุม ทำให้ประชาชนไม่ยอมรับอีกทั้งการปล่อยให้ตำรวจบริหารความขัดแย้งเองเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะตำรวจเป็น "นักปฎิบัติ" หรือเป็นผู้ปฎิบัติงานตามคำสั่ง ถ้าไป ปล่อยให้ตำรวจเป็นผู้บริหาร เข้าไปจัดการในสถาการณ์มันก็เหมือนตำรวจถูกลอยแพ ทำให้บางครั้งอาจเกิดการตัดสินใจที่ไม่เหมาะสมได้เมื่อมองดูสถากาณร์แล้วข้อเรียกร้องของ กลุ่มพันธมิตร" ที่ให้ "นายกสมัคร สุนทรเวช" ลาออกนั้นเป็นไปได้ยากลำบากอย่างยิ่ง เพราะนายก สมัครมาจากการเลือกตั้ง ในขณะนี้เดียวจะให้ กลุ่มพันธมิตร" หยุดก็คงยากเช่นกันปัญหาคือทำอย่างไร ให้เปลี่ยนจาการ "เผชิญเดิน" มาเป็น "การเดินหน้า" เดินหน้า ในความหมายว่ามีความคืบหน้าในการเจราจากัน ดังนั้นทางรัฐบาลต้องไม่เปลี่ยนแปลงอะไร หรือเคลื่อนไหวอะไร ด้วยการบุก ยึด ปะทะ อะไรทั้งสิ้น คงต้องรอปล่อยให้คลื่นลมสงบลงบ้างเสียก่อน แล้วถึงค่อยมาเจราจากล่าวถึงตัว "นายกสมัคร" นั้นเป็นคนที่มีประสบการณ์ทางการเมืองสูง เพื่อคงความอยู่รอดของตนเอง และความอยู่รอดของบ้านเมืองแล้ว นายสมัครก็อาจจะต้องตัดสินใจ ซึ่งไม่ใช่ความอยากหรือไม่อยาก แต่เป็นความจำเป็น เพราะขณะนี้ "ความกดดัน" ก็ทวีหรือขยายขึ้นทุกขณะ สถานการณ์ก็ยังไม่น่าไว้วางใจ นายกสมัครคงต้องตัดสินใจบทบาทททางการเมืองอย่างแน่นอน ซึ่งในทางการเมืองแล้ว ในลักษณะแบบนี้ ผู้ นำก็อาจจะมีทางเลือกอยู่ไม่มากนัก โดยลาออก หรือไม่ก็ยุบสภา หรืออีกกรณีคือถูกบังคับในต้องออกด้วยการถูก "ปฎิวัติรัฐประหาร" ซึ่งแน่ นอนว่าสังคมไม่ต้องการ และไม่อยากเห็นการเกิดรัฐประหารอีกแน่นอน!




ท่านผู้ชมหล่ะครับคิดอย่างไรบ้าง ควรจะทำอย่างไรต่อไป หรือ มีความเห็นอื่นต่างจากบทความนี้หรือไม่อย่างไร

หนทางใด ?


โดย "ดร.ปณิธาน วัฒนายากร " รัฐศาสตร์จุฬาฯ






Post by Nuttachai Nalampang ID 5131601061



ท่านคิดยังไรกับการเมืองในปัจจุบันนี้

ป้ายกำกับ